Learning E.M.I.E.C 4
Taught by my instructor Ms. Jintana Suksamran
Monday 5 February A.D. 2018 Time 11:30 - 14:30
Content / Activities
- นำเสนองานตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย (ต่อจากสัปดาห์ที่เรียนครั้งที่ 2)
กลุ่มที่ 5 การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori)
การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยที่ครูนั้นจะคำนึงถึงความสนใจ ความต้องการในการเรียนรู้ของเด็ก ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลและคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จัดสิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ให้เด็กนั้นได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เด็กได้รู้จักที่จะทำงานด้วยตนเอง มอนเตสซอรี่เชื่อว่า "เด็กคือผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้" หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3 - 6 ปี จะครอบคลุมการศึกษา 3 ด้าน คือ
1. ด้านทักษะกลไก (Motor Education)
มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบและการประสานสัมพัธ์ให้สมดุลกัน เด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน การดูแลตนเอง การจัดการเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน เช่น การตักน้ำ การตวงข้าว การขัดโต็ะไม้ หารเย็บปักถักร้อย การรูดซิป การพับ การเก็บผ้าห่ม และมีมารยาทในการรับประทานอาหาร เป็นต้น
2. ด้านประสาทสัมผัส (Education of the senses )
มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เกี่ยวกับมิติ รูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรุปทรงเลขาคณิต บัตรประกอบแถบสี กระดานสัมผัส แผ่นไม้ แท่นรูปทรงเรขาคณิต กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่น เช่น หอคอยสีชมพู แผ่นไม่สีต่างๆ เศษผ้าสีต่างๆ รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รูปทรงกระบอก ระฆัง เป็นต้น
3. ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation for Writing and Arithmetic)
มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์ การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การประพันธ์เพลง การเคลื่อนไหวมือ เด็กจะเรียนเกี่ยวกับตัวเลข กล่องชุดอักษร ชุดแผนที่ เครื่องมือโน๊ตดนตรี กล่องแท่งสี อักษรกระดาษทราย ชุดรูปทรงเลขาคณิต ชุดแต่งกาย เป็นต้น กิจกรรมที่จัดสำหรับเด็ก เช่นการคูณ การหาร ทศนิยม การแนะนำเลขจำนวนเต็ม 10 ด้วยลูกปัด แบบฝึกหัดการบวกลบ การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ เรียนเรื่องส่วนที่เป็นพื้นที่ ฯลฯ
ที่มาของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่นั้นเกิดจากแนวคิดของ Maria Montessori แพทย์หญิงชาวอิตตาลีที่มีความเชื่อว่า "การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้นไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรมชาติของเขา" มอนเตสซอรี่ เริ่มต้นนำแนวการสอนนี้ไปใช้กับเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้า สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆด้วยตนเอง โดยเน้นการฝึกประสาทสัมผัส
ลักษณะการเรียนรการสอนแบบมอนเตสซอรี่
มีลักษณะที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนกับบ้าน มีโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก
หลักการเรียนการสอน
1. เด็กจะต้องได้รับการยอมรับนับถือ >> เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันควรจัดการศึกษาที่ที่ตรงตามความสามารถและความต้องการตามพัฒนาการความต้องการของเด็ก
2. เด็กมีจิตซึมซาบได้ >> จิตของเด็กเหมือนฟองน้ำ ซึ่งซึมซาบข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม
3. ช่วงเวลาหลักของชีวิต >> สำหรับการเรียนรู้ในระยะแรกเป็นช่วงพัฒนาสติปัญญา และเด็กสามารถเรียนทักษะเฉพาะอย่างได้ดี ครูจะต้องสังเกตและใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี่ในการจัดการเรียนการสอนให้สมบูรณ์ที่สุด
4. การเตรียมสิ่งแวดล้อม >> มอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กเรียนได้ดีที่สุดในสภาพการจัดสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมไว้อย่างมีจุดหมาย การจัดเช่นนี้ เพื่อให้เด็กได้มีอิสระจากการควบคุม เด็กจะได้ทำกิจกรรมต่างๆตามความคิดของตนเองบ้าง
5. การศึกษาด้วยตนเอง >> เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้ เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ระเบียบวินัยของชีวิตโดยการมีอิสระภาพในการทำงานด้วยตนเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง
ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
- เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้ใฝ่รู้
- เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมอนเตสซอรี่ออกแบบจากชิวิตจริง
- เด็กเรียนด้วยความสุขมีสามธิในการทำงาน
- เด็กได้เข้าสังคม เรียนการอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกันมีเด็กหลายอายุรวมกัน
- เด็กเติบโตตามธรรมชาติ
- เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนกล้าคิดและตัดสินในด้วยตนเอง รู้จักการแก้ปัญหา
- เด็กมีทักษะการเรียนที่จะเข้าสู้ระดับประถมได้ดี
- เด็กมีความเข้าใจธรรมชาติ เพราะได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต
- เด็กจะรู้จักคิดสร้างสรรค์เพราะได้รับการส่งเสริมการคิดอย่างอิสระ
กลุ่มที่ 6 ภาษาธรรมชาติ (Whole Language Approach)
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้าน การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยแยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น การอ่านนิทาน ฟังนิทาน และการเล่าเรื่อง เป็นต้น
ที่มาของภาษาธรรมชาติ
การสอนแบบภาษาธรรมชาติ เกิดจากหลักการและแนวคิดของนักการศึกษานักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean Piaget ผู้เชื่อว่า การที่เด็กได้เคลื่อไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป้นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในเด็กผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ซึ่งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับภาพ เสียงกับตัวอักษร เป็นความรู้เกี่ยวกับตัวอักษรที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการอ่านของเด็ก เชื่อว่าการสอนภาษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียนฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมกัน การสอนแบบภาษาธรรมชาติแพร่หลายในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา สำหรับประเทศไทย มูลนิธิไทย - อิสราเอลนำมาเผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2538 -2539 มีนักการศึกษาไทยนำไปใช้และศึกษาวิจัย
ลักษณะของภาษาธรรมชาติ
เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยเด็กนั้นจะมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ โดยมีครูเป็นผู็สนับสนุนการเรียนรู้ คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ฏกับสังคม มีการสนับสนุนให้เด็กใช้ภาษาแบบองค์รวมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เด็กจะรู้ภาษาจากการเลียนแบบ ดั้งนั้น ครู ผู้ปกครอง และทุกคนที่อยู้รอบตัวเด็กจึงมีความหมายต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กจะได้ซึงซับภาษาเพื่อเกิดการเรียนรู้ เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาาาหรือตัวหนังสือ ให้เด็กได้เรียนภาาาอย่างมีความสุข ได้รับการสนับสนุนจากครูและพ่อแม่ให้อ่านหนังสือ
ประโยชน์จากการสอนภาาาแบบธรรมชาติต่อเด็ก
- เด็กเรียนด้วยความสุข เพราะบทเรียนเกิดจากความต้องการของเด็ก
- เด็กอ่านออกเขียนได้โดยวิธีธรรมชาติ
- เด็กจะมีทัสนคติที่ดีกับภาษา เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการสร้างแรงจูงใจจากภายใน
- เด็กรู้ว่าภาษามีความหมายต่อชีวิต
- เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี เพาะมั่นใจในการสื่อสาร
- เด็กจะมีสังคม
- เด็กจะได้รับการส่งเสริมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน
- เด็กจะรักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือ
- สมองเด็กได้รับการพัมนาอย่างถูกวิธี
กลุ่มที่ 7 การจัดทำสารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย
สารนิทัศน์หมายถึง ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง อาจจะเป็นผลงานของเด็ก ภาพถ่าย กิจกรรมต่างๆ เป็นร่องรอยการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรุ้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่มก็ได้
กระบวนการจัดทำสารนิทัศน์ (ตามแนวคิดของ พัชรี ผลโยธิน)
ขั้นแรก การเตรียมความพร้อมในการจัดทำสารนิทัศน์
ขั้นที่สอง การจัดทำสารนิทัศน์ เป็นการรวบรวมข้อมูลบันทึกถ่ายภาพ และไตร่ตรองข้อมูล
ขั้นสุดท้าย การจัดแสดงสารนิทัศน์
สารนิทัศน์มี 5 ประเภท คือ
สารนิทัศน์ประเภทที่ 1 การบรรยายเรื่องราว หรือประสบการณ์
เป็นการเขียนเรื่องราวเหตุการณ์ การปฏิบัติกิจกรรมตามลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดเหตุการณ์ เพื่อบอกประโยชน์และเรื่องราวที่ได้จากการทำกิกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่โรงเรียน
สารนิทัศน์ประเภทที่ 2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตัวอย่างไม่เป็นทางการใช้วิธีการนี้รวบรวมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน การสังเกตต้องใช้หูและตาเป็นเครื่องมือสำคัญ ควรมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน มีแบบบันทึกการสังเกตเพื่อนำข้อมูลไปประเมินและช่วยพัมนาเด้กในแต่ละด้าน
สารนิทัศน์ประเภทที่ 3 แฟ้มสะสมผลงาน
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ทำให้เห็นพัฒนาการและความก้าวหนเาของเด็กเป็นวิะีการวัดและประเมินเด็กในลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ
สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายงานกลุ่ม
- ผลงานรายบุคคล การนำผลงานของเด็กในการทำกิจกรรมมาจัด เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็กรายบุคคลโดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล
- ผลงานรายกลุม การนำเสนอผลงานเด็กเป็นกลุ่มมาจัดเก็บ หรือถ่ายทอดสู่ผู้อื่น ทำให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ระดมสมอง แลกเปลี่ยนความคิด พึ่งพาโดยการคำนึงถึงส่วนรวม
สารนิทัศน์ประเภทที่ 5 การสะท้อนตนเอง
การแสดงความคิดเห็น ความรุ้ความเข้าใจ ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการการจัดประสบการณ์และกิจกรรม ประกอบด้วย เด็กครู ผู้ปกครอง โดยมีการสะท้อนของบุคคล 3 กลุ่ม คือ หลักฐานการสะท้อนตนเองของเด็ก หลักฐานกาารสะท้อนตนเองของครู และ หลักฐานการสะท้อนตนเองของผู้ปกครอง
***ในการประเมินพัฒนาการของเด็กหรือการทำสารนิทัศน์ นั้นจะต้องเขียนตามที่ตาเห็นไม่ต้องใสความรู้สึกของตนเองลงไป***
กลุ่มที่ 7 แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการสะท้อนความคิด ความพยายาม และศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างสมบูรณ์
จุดประสงค์ของแฟ้มสะสมผลงาน
- เห็นคุณภาพงานของและการคิดของเด็ก
- แสดงความก้าวหน้าของเด็กในเวลาที่ล่วงไป
- ประเมินงานของเด็กแต่ละคน
- สะท้อนประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
- ให้โอกาสสพท้อนสิ่งที่คาดหวังในงานของเด็ก
- ให้ข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าข้องเด็ก
องค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลงาน
แบบออกเป็น 4 ส่วน
ส่วนที่ 1 ส่วนปก - มีปกนอกและปกใน
ส่วนที่ 2 ส่วนนำ - คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
ส่วนที่ 3 ส่วนเนื้อหา - เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน เอกสารต่างๆที่แสดงถึงความรู้ทักษะ และเจตคติของผู้เรียน
ส่วนที่ 4 ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมหรือภาคผนวก ปฏิทินปฏิบัติงานในการเก็บผลงาน แผนการสะสมผลงาน ข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และแบบประเมินอื่นๆ
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
- การสังเกตและการบันทึก
- การสนทนา ได้ทั้งรายกลุ่มหรือจะเป็นรายบุคคลก็ได้
- การสัมภาษาณ์
การจัดทำแฟ้มสะสมผลงานภาพถ่าย
1. ใช้วิธีการภายภาพด้วยกฎสามส่วน แบ่งภาพออกเป็นสามส่วนเท่ากัน
2. ควรถายภาพเด็เป็นรายบุคคลหรือกลุ่มเล็กมากกว่ากลุ่มใหญ่
3. ถ่ยภาพในมุมต่างกัน
4. ถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นชุด ขณะที่เด็กกำลังแก้ปัญหา
กลุ่มที่ 8 วอลดอร์ฟ (Waldorf)
นวัตกรรมดารศึกษาแนววอดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษย์ปรัชญา โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนมีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนากาย จิต และจิตวิณญาณให้บรรลุถึง ความดี ความงาม และความจริง
ที่มาของการศึกษาแนววอลดอร์ฟ
เอมิล มอลล์ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบวอลดอร์ฟแอสโทเรียล ได้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ชื่อโรงเรียน วอดอร์ฟ เพราะเอมิล ได้เห็นด้วยกับแนวความคิดของ ดร.รูดอร์ฟ ไสตเนอร์ โดยโรงเรียนได้ดำเนินการสอนลูกหลายของคนงานก่อน ต่อมาการศึกษาแบบวอดอร์ฟทั้งในระดับประถมและอนุบาลได้แผ่ขยายไปทั่วโลก
ประโยชน์แนววอลดอร์ฟ
- เด็กมีอิสระ พัฒนาตนเต็มศักยภาพที่ตนมี
- เด็กมีความคิดแยบคาย สดใส มีพลังและสร้างสรรค์
- เด็กมีความเมตตา กล้าหาญ ใฝ่รู้ เอื้ออาทร
กลุ่มที่ 9 การสอนแบบไฮสโคป (High Scope)
ไฮสโคป เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำ ผ่านการเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่างๆ อย่างอิสระ มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบไฮสโคป เพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้นการเรียนรรุ้แบบการลงมือกระทำ เพราะเด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด ความรุ้ ความเข้าใจ และการรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง อีริกสัน (Erikson) ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นกิจกรรมต่างๆ อย่างอิสระ ส่วนไวก๊อตกี้ (vygotsky)เรื่อง ปฏิสัมพันธ์และการใช้ภาษา
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้
1. พื้นทิ่ ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม
2. วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนและอุปกรณ์ต้องมีมากพอและหลากหลาย
3. การจัดเก็บ เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรการค้นหา ใช้ เก็บ คืน
กิจวัตรประจำวัน
- การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือสิ่งท่ี่สนใจ เป็นการให้เด็กได้มีโอกาสเลือกและตัดสินใจ
- การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา ตัดสินใจ และทำงานด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อนอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนด โดยมีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม
- การทบทวน (Review) เด็กจะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ต้องการให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง
การประเมินพัฒนาการ
การประเมินเป็นงานของครูโดยตรง ครุที่ต้องตั้งใจปฏิบัติและเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ครูต้องทำงานร่วมกันเป็นคณะ ในแต่ละวันครูจะต้องรวบรวมข้อมุลเกี่ยวกับเด็ก ข้อมูลนี้ได้จากการสังเกตและการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจำวัน
รายการสังเกตแบบ COR
COR เป็นเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กที่ไฮสโคปสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้แทนแบบทดสอบซึ่งถื่อว่าไม่เหมาะกับเด็กเครื่องมือนี้ใช้ กับเด็ก 2-6 ขวบ โดยสังเกตเด็กขณะทำกิจกรรมปกติในแต่ละวัน มี 6 รายการ คือ
1. การริเริ่ม
2. ความสัมพันธ์ทางสังคม
3. การนำเสนออย่างสร้างสรรค์
4. ดนตรีและการเคลื่อนไหว
5. ภาษาและการรู้หนังสือ
6. ตรรกะและคณิตศาสตร์
ประโยชน์ของการสอนแบบไฮสโคป
- สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น
- การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระบบ
- เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย
(บรรยากาศการนำเสนอ)
Vocabulary
Portfolio >> แฟ้มสะสมผลงาน
Research >> งานวิจัย
Language >> ภาษา
Plan >> การวางแผน
Review >> การทบทวน
Applied
จากการนำเสนอของเพื่อนและการเพิ่มเติมความรู้ของอาจารย์ เรานั้นสามารถนำไปปรับใช้ สร้างรูปแบบการสอนของตัวเองขึ้นมาได้โดยมีต้นแบบเป็นแนวการสอนต่างๆที่เพื่อนและอาจารย์ได้หยิบยกมานำเสนอในชั้นเรียน หรือจะหยิบวิธีการสอนหรือจัดกิจกรรมบางส่วนของแนวการสอนต่องๆที่คิดว่าเหมาะสมกับเด็กมาใช้ในการจัดกิจกรรมการสอน นอกแนวการสอน การจัดกิจกรรมก็ยังมีการจัดสภาพแวดล้อมที่เราสามารถหยิบยกมาใช้ได้จริง การเขียนแผนวางแผน การจัดทำสารนิทัศน์ และจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน สิ่งหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องนำไปใช้จริงในอนาคตอย่างแน่นอน
Evaluation
Self : มีการเตรียมการนำเสนอมาก มีการจดบันทึกความรู้ มีการถามตอบแลกเปลี่ยนความรู้ ให้ความร่วมมือทำกิจกรรมในห้องเรียน
Classmates : เพื่อนตั้งใจในการเตรียมงานการนำเสนอมา ให้ความร่วมมือในการทำกิจกกรมในชั้นเรียน
Instructor : อาจารย์ตรงต่อเวลา คอยเพิ่มเติมความรู้ให้แกนักศึกษา นอกเหนือจากที่นักศึกษาหาข้อมูลมา ให้โอกาสนักศึกษาในการแสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น